การขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่ได้มีแค่ว่าขี่มุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว การชลอการเบรคถือเป็นส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในการขับขี่เพราะเมื่อเราไปด้วยความเร็ว เมื่อต้องหยุดแล้วเบรกเราไม่ทำงาน ทั้งกำแล้วจม หรือเบรคแล้วไม่อยู่ มันจะทำให้คุณใจหาย และเป็นอันตรายเป็นอย่างมาก แล้วสาเหตุที่ทำให้เบรครถของเราไม่อยู่เกิดขึ้นจากอะไรได้บ้าง?
หลักๆ แล้วอาการเบรคจมเกิดจากการเสื่อมสภาพ และการสึกหรอของชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบเบรค สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะปั๊มเบรคตัวบนบวม-สึกหรอ หรือปั๊มเบรคเสื่อมสภาพ ทำให้การอัดแรงดันน้ำมันเบรคลดลงจนต้องย้ำเบรค แก้ไขได้ด้วยการเปลี่ยนปั้มเบรคใหม่ และควรเลือกใช้ปั้มเบรคที่มีคุณภาพและตรงรุ่น อีกส่วนหนึ่งที่ต้องไปดูเมื่อเบรคจมคือ ผ้าเบรค และจานเบรค

อีกสาเหตุเกิดจากการที่ จานเบรคสึกหรอ จนทำให้แรงเสียดทานลดลง หรือผ้าเบรคหมด จนทำให้เกิดระยะห่างระหว่างผ้าเบรคกับจานเบรค จึงต้องกำเบรกลึกขึ้น สังเกตง่ายๆ ด้วยการส่องดูเช็คว่าระดับของน้ำมันเบรคว่าพร่องลงไปเกินครึ่งหรือไม่ เพราะเมื่อผ้าเบรคหมด น้ำมันเบรคจะยุบตัวลงไปช่วยดันผ้าเบรค จนทำให้ระดับน้ำมันเบรคลดลงนั่นเอง หากเป็นด้วยสองสาเหตุนี้ แก้ไขโดยการเปลี่ยนผ้าเบรค และทำความสะอาดจานเบรค หรือเอาจานเบรคไปเจีย
แต่ถ้าตรวจสอบดูทั้งหมดแล้ว ไม่พบความผิดปกติใดๆ ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นไปได้ว่าอาการเบรคลึกที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากการที่ อากาศเข้าไปอยู่แทนที่น้ำมันเบรคมากเกินไป เคสนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการไล่ลมเบรคออกให้หมด เหลือไว้เฉพาะน้ำมันเบรคใหม่ๆ ตัวเบรคก็จะกลับมาทำงานได้ตามปกติ

แต่ถ้ารถของคุณใช้ ดิสก์เบรค สาเหตุอาจเกิดจาก
อย่างแรก เราเอามือวางที่ก้านเบรคตลอดเวลา ทำให้เหมือนกดเบรคตลอดเวลา เกิดอาการผ้าเบรคร้อนเกิน ทำให้น้ำมันเบรคเดือด แล้วจมหายไปครับ ถ้าเป็นอาการนี้ให้ลองสังเกตุว่าจานดิสไหม้จนมีสีม่วง
อย่างที่สอง ขาคาร์ลิเปอร์สกปรก ติดขัด ทำให้เบรคติด ล้อหมุนฝืด ผ้าเบรคเสียดสีตลอดเวลา ทำให้น้ำมันเบรคเดือดเช่นกัน แล้วเบรคก็จมหายได้ ถ้าเป็นอาการนี้ให้ลองสังเกตุว่าจานดิสไหม้จนมีสีม่วงบ้างหรือเปล่า แล้วตั้งขาคู่ หมุนล้อหน้าดูว่าฝืดหรือไม่
อย่างสุดท้าย พวกลูกยางเบรครั่ว  ลองดูว่าในระบบมีฟองอากาศบ้างหรือไม่
ทางที่ดีหากเกิดเหตุการณ์เบรคไม่อยู่เบรคจม ถือเป็นเรื่องสำคัญรีบนำรถไปที่ศูนย์หรืออู่ที่ได้มาตรฐานเพื่อให้ช่างไล่

เช็คหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร และรีบแก้ไขทันทีเพราะความปลอดภัยสำคัญที่สุดในการขับขี่

ขอบคุณข้อมูลจาก  
https://khaorot.com/