หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “ค่า K” เวลาใครพูดถึงสปริงของโช้คอัพรถก็ว่าได้ และไม่มีว่าจะรถประเภทอะไรก็แล้วแต่ หากมีโช้คอัพไว้รับแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นนั้นเอง โดยโช้คอัพเหล่านี้ที่ตัวสปริงล้วนมีค่า K ทั้งหมด
 

ทั้งนี้ความแข็งและความอ่อนของสปริง (SPRING RATE) จะถูกเรียกเหมารวมว่า “ค่า K” นั้นเอง ซึ่งทุกอย่างได้ถูกอธิบายไว้แล้วในกฎฟิสิกส์ของฮุก (HOOK’S LAW)

คุณสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน หากสปริงมีค่า K น้อยหรือมาก

1. ถ้าสปริงมีค่า K น้อย ก็เท่ากับว่าตัวสปริงจะมีความนิ่ม ซึ่งรถคุณจะให้ความนุ่มนวล นั่งสบาย แต่รถจะมีอาการย้วยอย่างรู้สึกได้ เวลาเข้าโค้งเร็วๆ ตลอดจนถ้าบรรทุกน้ำหนักเยอะ เวลาขึ้นสภาพ ลงสภาพ จะมีอาการโช้คยันแบบชัดเจน
    
2. ถ้าสปริงมีค่า K มาก ก็เท่ากับว่าตัวสปริงจะมีความแข็ง โดยรถจะมีความแข็งกระด้างตามค่า K ของสปริงก็ว่าได้ และสมรรถนะในการควบคุมรถก็ดีขึ้นอีกด้วย อีกทั้งยังสามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้มากขึ้น ซึ่งข้อเสียหลักๆ ของสปริงที่มีค่า K มากก็คือ ความแข็ง ขับขี่แล้วไม่สบายนั้นเอง

ตัวอย่างเช่น สปริงมีค่าความแข็งที่ 5K หรือสปริงมีค่าเป็น 5 Kg/mm เท่ากับว่าเมื่อมีน้ำหนัก 5 กิโลกรัม มากดทับที่สปริง ตัวสปริงจะยุบตัวลง 1 มม. แต่ถ้ามีน้ำหนัก 100 กิโลกรัม มากดทับที่สปริง ตัวสปริงจะยุบตัวลง 20 มม. หรือ 2 ซม. นั้นเอง

เมื่อคุณทราบถึงค่า K ของสปริงว่าคืออะไรแล้ว การปรับเซ็ทอัพโช้คอัพให้พอดีกว่าความต้องการในการใช้งานก็ไม่ยากอีกต่อไป ก็เพื่อให้การขับขี่และสมรรถนะออกมาลงตัวมากที่สุด