Royal Enfield แบรนด์รถจักรยานยนต์ที่ดำเนินการผลิตอย่างต่อเนื่องมานานที่สุดในโลกตั้งแต่ปีค.ศ. 1901 นับถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 120 ปี กับรถจักรยานยนต์ดีไซน์คลาสสิกที่เรียบง่าย มีเสน่ห์ ขับขี่เพลิดเพลิน และราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อการเฉลิมฉลองในวาระการครบรอบดังกล่าวในปี ค.ศ. 2021 นี้ Royal Enfield ต้องการผลักดันขีดจำกัดของความเป็นไปได้ ในการขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความทะเยอทะยาน โดยจะจัดทริปขี่ Royal Enfield Himalayan ตะลุยไปให้ถึงขั้วโลกใต้จากหิ้งน้ำแข็งรอสส์ ผ่านธารน้ำแข็งเอเวอเรสต์ 90 องศาใต้ - ผจญภัยเส้นทางสู่ขั้วโลก (90° SOUTH - Quest for the Pole) คือกิจกรรมที่ถูกคิดขึ้นเพื่อให้เป็นการเฉลิมฉลองความยึดมั่นต่อการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่แท้จริงของแบรนด์ รวมถึงผู้ขับขี่ และนักสำรวจที่กล้าหาญ อดทนจำนวนนับไม่ถ้วน ที่สร้างประวัติศาสตร์ด้วยทริปขี่รถจักรยานยนต์ในครั้งนี้

สิทธัตถะ ลาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไอเชอร์ มอเตอร์ส กล่าวถึงการครบครบ 120 ปีของ Royal Enfield และความพยายามในการเดินทางครั้งนี้ว่า "120 ปีนั้นถือเป็นมรดกของ Royal Enfield ที่มีระยะเวลานานมาก พวกเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำให้ตลอด 120 ปีที่ผ่านมา ทั้งมีคุณค่าและความหมาย นอกจากนี้พวกเรายังสร้าง พร้อมส่งเสริมวัฒนธรรมการขับขี่ และการออกไปสำรวจโลกที่เติบโตอยู่เรื่อยๆ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของ DNA ของ Royal Enfield รวมถึงเป็นอีกหนึ่งการเดินทางในโปรแกรมการขับขี่รถจักรยานยนต์ครั้งยิ่งใหญ่สุดพิเศษในครั้งนี้ ในอดีตกิจกรรมขับขี่อย่าง หิมาลายัน โอดิสซีย์ (Himalayan Odyssey) ได้ปูทางให้การขับขี่รถจักรยานยนต์ผจญภัยในเทือกเขาหิมาลัยต่างๆ การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ไปยังขั้วโลกใต้เช่นนี้ ซึ่งเป็นการพยายามเดินทาง 770 กิโลเมตรไปยังขั้วโลกใต้ด้วยรถจักรยานยนต์ครั้งแรก รวมถึงเป็นการทดสอบความมานะอดทนของทั้งคนและเครื่องจักร จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนออกผจญภัยสำรวจอีกครั้ง

ทริปตะลุยขั้วโลกใต้ ถูกจัดขึ้นเพื่อให้เป็นเกียรติแก่ 120 ปีของการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่แท้จริง และรำลึกถึงเหล่าผู้ขับขี่รอยัล เอนฟิลด์ทุกคนที่กล้าออกไปสำรวจโลก เหนือกว่าปกติ ทริปนี้คือการพยายามอย่างทะเยอทะยานที่จะขับขี่รถจักรยานยนต์ไปยังที่ที่ไม่เคยมีรถจักรยายนยนต์คันไหนได้ไปมาก่อน โดยเริ่มต้นที่เมืองเคปทาวน์ (Cape Town) ประเทศแอฟริกาใต้ ในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 การเดินทางนี้จะมีผู้ขับขี่รอยัล เอนฟิลด์ 2 คน ได้แก่คุณ Santhosh Vijay Kumar, หัวหน้าฝ่ายกิจกรรมขับขี่ และกลุ่มผู้ขับขี่, รอยัล เอนฟิลด์ และ Dean Coxson, วิศวกรอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์, รอยัล เอนฟิลด์ พยายามไปให้ถึงขั้วโลกใต้ทางภูมิศาสตร์ จากหิ้งน้ำแข็งรอสส์ ผ่านธารน้ำแข็งเอเวอเรสต์ ไปจนถึงสถานีวิจัยขั้วโลกใต้อามุนด์เซน-สก็อตต์ (Amundsen-Scott South Pole Station)

วิมัล ซุมบ์ลี, หัวหน้าฝ่ายธุรกิจประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก, Royal Enfield กล่าวถึงจุดประสงค์ของการเดินทาง และอวยพรให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นว่า “Royal Enfield ถือเป็นมรดกที่สืบทอดมายาวนานกว่า 120 ปี ซึ่งเติมพลังให้การสำรวจ พร้อมผลักดันขีดจำกัดของคน และเป็นคู่หูที่ดีให้กับนักสำรวจหลายคน การเดินทาง และการผจญภัยของพวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้เราลองทำการเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์แบบนี้เป็นครั้งแรก ความพยายามอย่างกล้าหาญ และทะเยอทะยานในการขี่ไปยังจุดสิ้นสุดของโลกแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของความทนทานของคน และเราหวังว่าการเดินทางจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีในฐานะการรำลึกถึงผู้ขับขี่ Royal Enfield ทุกคน และการเดินทางที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนอีกมากมายของพวกเขา”

เพื่อดำเนินการร่วมกับ Arctic Trucks Royal Enfield Himalayan ทั้ง 2 คันที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะจะถูกนำไปใช้สำหรับทริปนี้ Arctic Trucks เป็นสมาชิกของ International Association of Antarctica Tour Operators ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านความเชี่ยวชาญอย่างมากในด้านนี้ รวมถึงสำรวจพื้นที่มาแล้วกว่า 350,000 กิโลเมตรบนที่ราบสูงแอนตาร์กติก พวกเขาได้สนับสนุนและให้บริการการสำรวจ และกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์หลายครั้ง รวมถึงการสำรวจเชิงพาณิชย์ และองค์กรที่ไม่ใช่ของรัฐ (NGO) ในอดีต รถจักรยานยนต์ทั้ง 2 คันจะถูกขับขี่บนพื้นผิวหิมะที่อัดแน่นหิ้งน้ำแข็งรอสส์ ตลอดไปถึงขั้วโลกใต้ เพื่อลดแรงเสียดทาน และเป็นการจำกัดการปลอ่ยไอเสียออกมาให้น้อยที่สุด เพื่อให้การสำรวจในครั้งนี้ เป็นการสำรวจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้ ยกเว้นแต่รอยยาง ที่จะสลายไปหลังจากการปกคลุมของละอองหิมะ 

ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ท่ทายเป็นอย่างมากทั้งตัวรถและตัวผู้ขี่เพราะขั้วโลกใต้ถือว่าเป็นดินแดนที่ยังไม่ค่อยได้รับการสำรวจถึงเนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายมาก การตะลุยขั้วโลกใต้ในคร้งนี้ของ Royal Enfield ในครั้งนี้น่าติดตามเป็นอย่างมากว่าพวกเข้าจะพิชิตขั้วโลกใต้ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ และสภาพรถจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับสภาพอากาศอันหนาวเหน็บแบบนี้ เรามาติดตามข่าวกันต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thaipost.net