เมื่อใช้รถมอเตอร์ไซค์ ไปสักระยะ ราวๆ 20,000 กม. ก็ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนโซ่กันแล้ว เพราะโซ่จะเริ่มหมดสภาพ ซึ่งอาการที่บอกว่าโซ่หมดสภาพ ยกตัวอย่างเช่น โซ่ดัง โซ่ยืด วิ่งสะดุด วิ่งไม่ออก และที่ชัดสุดคือโซ่ตาย ข้อต่อจะเริ่มหงิกหงอ นั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่าต้องเปลี่ยนได้แล้ว ไม่งั้นอาจจะเกิดอันตรายร้ายแรงได้ แต่ทีนี้พอไปที่ร้าน จะเจอโซ่มากมายหลายแบบ ทั้งแบบธรรมดา O-Ring X-Ring ไม่รู้จะเลือกอันไหนดี วันนี้จะมาอธิบายความแตกต่างของโซ่แต่ละแบบมาว่า

โซ่แบบธรรมดา
อันนี้ง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน คือการเอาชิ้นส่วนโซ่มาต่อกันแบบธรรมดา ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ มีข้อดีคือราคาถูก แต่ข้อเสียคืออายุการใช้งานสั้น ต้องหมั่นหยอดน้ำมันหล่อลื่นบ่อยๆ มักใช้ในรถขนาดเล็กทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการสมรรถนะสูง

ที่มารูปภาพ: http://bigbikelover.com

โซ่แบบ O-Ring
เป็นโซ่ที่พัฒนาขึ้นจากแบบธรรมดา โดยข้อต่อทุกชิ้นจะมียาง O-Ring คั่นกลางไว้ และภายใน O-Ring จะกักเก็บจาระบีไว้ข้างในเพื่อช่วยหล่อลื่นข้อต่อให้มีความลื่นไหลมากขึ้น และป้องกันฝุ่นเล็ดรอดเข้าไปในข้อต่อ ข้อดีคือใช้ได้งานกว่าแบบธรรมดา 3 เท่า (ประมาณ 20,000 กม.) ไม่ต้องการดูแลรักษามาก (แต่ก็ต้องหยอดน้ำมันบ้าง) ส่วนข้อเสียคือราคาจะแพงกว่าแบบธรรมดาเกือบเท่าตัว มักใช้ในรถบิ๊กไบค์หรือรถสมรรถนะสูง
โซ่แบบ X-Ring
เป็นโซ่ที่พัฒนาขึ้นจากแบบ O-Ring อีกที โดยมีหลักการง่ายๆ คือ เส้นยางจะเป็นรูปตัว X ถ้าเอา X-Ring มาตัดตามแนวขวางจะเห็นเป็นรูปตัว X ดังนั้นจึงเรียกว่า X-Ring ซึ่งมีข้อดีคือช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างข้อต่อได้มากกว่าแบบ O-Ring เพราะมีร่องกักเก็บจาระบีถึง 4 ร่อง (ในขณะที่ O-Ring มีแค่ 2 ร่อง) ดังนั้นจึงมีความลื่นไหลมากกว่าและใช้งานได้นานกว่าโซ่ O-Ring ถึง 2 เท่า แต่ข้อเสียคือราคาแพงกว่าพอสมควร

ถ้าถามว่าแบบไหนดีสุด ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน ถ้ารถทั่วไปก็ใช้โซ่ธรรมดา ถ้าเป็นบิ๊กไบค์ทั่วไปก็ใช้ O-Ring แต่ถ้าเน้นประสิทธิภาพสูง และอายุการใช้งานนานก็ควรเลือกแบบ X-Ring

นอกจากนี้ก็ควรเลือกขนาดโซ่ให้เหมาะกับรถ ถ้าใหญ่เกินไปก็น้ำหนักเยอะ กินกำลังเครื่องยนต์ แต่ถ้าเล็กเกินไปก็เสี่ยงต่อการขาดกลางทาง และที่สำคัญระวังของปลอม เดี๋ยวนี้ระบาดเยอะไม่ใช่น้อย ดังนั้นจึงควรเลือกใช้แต่ของแท้หรือเลือกซื้อจากร้านที่มีความน่าเชื่อเท่านั้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://bigbikelover.com/