ตัวแรงของรุ่นเปิดตัวหลัง แต่ดังกว่ากับ Honda CBR1000RR-R Fireblade 2022 มอเตอร์ไซค์ระดับซูเปอร์ไบค์ ของค่าย Honda ที่พกมาทั้งความแรง เทคโนโลยีอัพเดตใหม่ล่าสุด และสีใหม่แต่เป็นเฉดสีคลาสสิค เพื่อฉลองครบรอบ 30 ปี รถในตระกูล Fireblade ที่โดดเด่นทางด้าน Design และความแรงที่ไม่เคยเป็นรองใคร

Honda CBR1000RR-R Fireblade มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงขนาด 999 ซีซี อัดเต็มแรงม้ามาที่ 214.56 แรงม้า รอบที่ 14,500 รอบ แต่แรงบิด ให้มาที่ 112 นิวตันเมตรที่ 12,500 รอบ แต่กลับมีแรงบิดให้ใช้ในย่านความเร็วต้นถึงกลาง ส่วนความเร็วปลายไปได้สบาย ยาวๆ หายห่วง เสริมระบบ Selectable Torque Control ที่ได้รับการปรับปรุงกันมาใหม่ด้วย ทำให้มันมีประสิทธิภาพในการขับขี่มากยิ่งขึ้น

ตัวเฟรมรถจะเน้นน้ำหนักที่เบา แต่มีความแข็งแรง ชุดแฟริ่งตัวรถก็ออกแบบตามหลักแอร์โรไดนามิก เพื่อให้สามารถขี่ทำความเร็วได้อย่างเต็มที่ พร้อมทำการปรับแต่งแพลตฟอร์มในบางส่วน เพื่อทำให้เข้าโค้งได้มั่นคงมากยิ่งขึ้น และทำความเร็วในการเข้าโค้งได้ดีขึ้น รวมไปถึงมีการปรับสเตอร์หลังใหม่ ช่องไอดีใหม่ ช่องแอร์บ็อกซ์ และท่อไอเสียส่วนกลางก็ได้รับการปรับปรุงด้วย

ระบบกันสะเทือน ใช้งานโช้คหน้าของ Showa รุ่น Big Piston Fork (BPF) ขนาด 43 มม. และมีโช้คหลัง Showa Balance Free Rear Cushion Lite (BFRC-L)  ขณะที่ระบบเบรค ด้านหน้าจะเป็นดิสก์เบรคคู่กับคาลิเปอร์เบรค Nissin ได้รับปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้เบรคได้ดีขึ้นจากการที่สามารถระบายความร้อนได้ดีขึ้น มาพร้อมระบบเบรค ABS ที่สามารถปรับแต่งหรือปิดได้ สำหรับตัว SP อัพเกรดในส่วนของช่วงล่าง ทั้งระบบเบรค และระบบกันสะเทือน โดยระบบเบรคจะเปลี่ยนไปใช้ของ Brembo และโช้คอัพก็จะอัพเกรดไปเป็นโช้ครูปแบบปรับไฟฟ้าของ Ohlins และมีการติดตั้งควิกชิฟเตอร์ให้อีกด้วย

ระบบเทคโนโลยีของ Honda CBR1000RR-R Fireblade หน้าจอเรือนไมล์สี TFT ขนาด 5 นิ้ว พร้อมสวิตช์ควบคุมแบบ 4 ทิศทางที่แฮนด์ด้านซ้าย และมีระบบสมาร์ทคีย์เพื่อความสะดวกสบายและทันสมัย ตัวรถมีระบบประมวลผลแรงเฉื่อยหรือ IMU ที่ช่วยให้ ECU รู้ว่าตัวรถอยู่ในสถานะใด และช่วยป้อนข้อมูลที่เหมาะสมให้กับระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ รวมไปถึงระบบกันสะบัดไฟฟ้า Honda Electronic Steering Damper

(HESD) ระบบแทร็คชันคอนโทรล หรือ Honda Selectable Torque Control (HSTC) ก็ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น โดยผู้ขับขี่จะสามารถรับรู้ได้ถึงพละกำลัง การยึดเกาะและการตอบสนองต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้นและให้ตอบสนองกับอัตราทดที่ปรับเปลี่ยนมาใหม่อีกด้วย ระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ก็ยังคงมีอยู่ครบถ้วน อาทิ โหมดการขับขี่ 3 โหมด และสามารถปรับได้อย่างอิสระ  ระบบเอ็นจิ้นเบรก การลอยตัวของล้อ และแทร็คชันคอนโทรล และโหมดช่วยออกตัวที่ช่วยล็อกรอบเวลาออกตัว มาครบแบบจัดเต็มกันไปเลย

ความคลาสิคอยู่ที่ชุดสีที่ CBR1000RR-R Fireblade ในเฉดสีแดง คล้ายๆ ตัวเริ่มต้น เพื่อรำลึกความหลังและฉลองในโอกาศครบรอบ 30 ปี
 
ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก 
https://www.superbikemag.com/
https://www.greatbiker.com/