ในการขี่รถทางไกล ไปออกทริปต่างจังหวัด ชิ้นส่วนที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษของรถเรา คงจะต้องเป็น ยางรถ เพราะเป็นส่วนสำคัญที่สุดโดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์ ทุกชนิดทุกรุ่น เพราะมันคือชิ้นส่วนเดียวของรถที่สัมผัสกับพื้นถนน แน่นอนว่ามันเป็นชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนที่และเสียดสีตลอด ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเราจึงต้องใส่ใจและดูแลให้ดีก่อนจะเดินทาง ซึ่งการดูแลยางต้องทำอย่างไรบ้าง

• ตรวจสภาพ ยางคุณภาพของยางให้ละเอียด
  • สังเกตว่าลายดอกยางนั้นมีลวดลายเป็นปกติ สม่ำเสมออยู่หรือไม่ หากลายดอกยางเริ่มจางหาย แสดงว่าจะหมดอายุการใช้งานแล้ว
  • ตรวจเช็คความแข็งของหน้ายาง ว่ายังมีประสิทธิภาพการยึดเกาะหรือไม่ ตรวจเช็คได้ง่ายๆ เพียงใช้เล็บมือจิกลงบนหน้ายางตรงๆ หรือบริเวณสันของลายดอกยาง หากสามารถจิกได้ง่ายๆ อย่างนุ่มนวล แสดงว่ายางยังมีประสิทธิภาพการใช้งานปกติ แต่ถ้าจิกไม่เข้าเลย แม้จะเอาอะไรลองจิ้มๆ ก็ไม่ยุบ แสดงว่ายางของท่านแข็งแล้ว ซึ่งหมายความว่ายางเส้นนั้นๆ หมดอายุการใช้งานแล้ว
  • ดูสะพานยาง สังเกตุจากบริเวณเส้นที่อยู่ภายในลายดอกยาง มันจะมีเส้นที่พาดผ่านตรงกลางของหน้ายางอยู่ภายใน โดยมีลักษณะเป็นเส้นเดียวกันต่อยาวจากด้านหนึ่ง ไปอีกด้านหนึ่งของหน้ายาง โดยสะพานยาง ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือบ่งบอกว่าความหนาของเนื้อยางยังอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการใช้งานหรือไม่ หากเนื้อยางสึกหรอลงไปจนกินเส้นสะพานยาง
  • ตรวจดูรอยแตก บาด บูด บวม และตะปูหรือน็อตโดยรอบตัวยางทั้งหน้าและหลัง 

หากยางคุณเสื่อมสภาพหรือมีรอยแตก ปูด แสดงว่ายางคุณไม่เหมาะที่จะใช้เดินทางไกลเพื่อความปลอดภัยควรรีบเปลี่ยนยางก่อนเดินทาง ระยะเวลาการตรวจคุณภาพยางควรก่อนเดินทางซัก 7-10 วัน เพราะเมื่อเปลี่ยนยางคุณจะได้มีเวลา Run in ก่อนเดินทางจริง

• หากจะต้องเปลี่ยนยางเพื่อเดินทางไกลแนะนำให้ใช้ยาง “ยางที่ไม่มียางใน” หรือ Tubeless Tyre เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นกับยางของคุณระหว่างเดินทาง ยางจะไม่ระเบิดหรือแตกในทันทีแต่จะค่อย ๆ ซึมลงให้คุณมีเวลาประคองรถไปทำการแก้ไข และควรเลืองยาง Tubeless Tyre ประเภท Touring Tyre หรือยางสำหรับรถทัวร์ริ่ง หรือ“ยางฮาล์ฟ” ผิวสัมผัสที่จะมีความแข็งมากกว่า และมีลายของยางที่มีความลึกกว่ายางแบบ Road Tyre และลายยางที่ลึกนั้นเหมาะสำหรับการใช้งานในเส้นทางที่เป็นถนนพื้นแข็งหรือทางดินแต่ไม่เท่ากับ Off Road  ลักษณะของยาง Touring Tyre นั้นไม่เหมาะกับการทำความเร็วสูง เพราะความลึกของลายยางที่เน้นการใช้งานในการขจัดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ได้ดีกว่า ซึ่งความลึกนี้เมื่อสัมผัสกับพื้นถนนแล้วจะมีช่องว่างและมีส่วนของอากาศอัดอยู่ในร่องของลายยาง เกิดเป็นแรงดึงและแรงเฉื่อยทำให้การหมุนรอบของตัวยางมีความเร็วที่ไม่สม่ำเสมอ ดังนั้นยางประเภทนี้เหมาะกับการทำความเร็วที่ไม่เกิน 160 -180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
• การเติมลมยาง ควรที่จะเติมลมยางให้พอดีกับน้ำหนัก โดยการตรวจเช็คลมยางนั้นควรทีจะเช็คในตอนที่ยางรถมอเตอร์ไซค์ของเราเย็นอยู่ ไม่ควรเช็คลมยางตอนที่ยางรถมอเตอร์ไซค์ของเรามีความร้อน เนื่องจากความร้อนจะทำให้ค่าของลมยางผิดไปจากความจริง ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อสมรรถนะในการขับขี่ หรืออาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ 

มาตรฐานของการเติมลมยางส่วนมาก รถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ ๆ แทบทุกคันจะมีป้ายบอกเอาไว้อยู่ที่ตัวรถ โดยจะมีการบอกทั้งการเติมลมยางแบบขับคนเดียวและสองคนเอาไว้ให้เรียบร้อย โดยจะมีค่าที่คุ้นเคยกันอยู่คือ PSI มันก็คือค่าที่เป็นปอนด์ต่อตารางนิ้ว นั่นเอง อย่างเช่นล้อหน้าเติม 30 ปอนด์ ล้อหลังอาจจะเติม 32 ปอนด์ เพื่อให้รับน้ำหนักคนซ้อนด้วย และยางส่วนมากก็จะเซ็ตระดับลมยางเอาไว้ประมาณนี้ รวมถึงถ้ามีผู้ซ้อนด้วยก็จะใช้ขนาดลมยางเท่านี้ แต่ที่ตัวป้ายก็จะมีบอกทั้งขณะผู้ขับขี่คนเดียวและมีผู้ซ้อนบอกเอาไว้ด้วย ค่าประมาณการความดันลมยางแต่ละรูปแบบถนน

• วิ่งถนนดำ แห้ง ยางหน้า 36 psi ยางหลัง 40 psi
• วิ่งถนนดำ เปียก ลดเหลือ 32 psi
• วิ่งทางลูกรัง แห้ง  32 psi
• วิ่งทางลูกรัง + ดินหนังหมู ลดเหลือ 25 psi

 การเพิ่มลมยาง ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่บรรทุกเพิ่ม 

การเติมลมยางสำหรับการใช้วิ่งทางไกล ในอัตราส่วนเท่านี้จัดว่าเป็นการเติมที่ช่วยทำให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด เพราะเมื่อต้องขับขี่ระยะทางไกล โครงสร้างยางจะเกิดการบิดตัวน้อยที่สุด แต่ก็สามารถยืดหยุ่นและเกาะผิวถนนได้อย่างปลอดภัยมากที่สุด การเติมลมยางที่เหมาะสมที่สุด ควรเอาค่ามาตรฐานเป็นตัวกำหนดแล้วควรเติมลมยางมากกว่ามาตรฐานประมาณ 2-3 ปอนด์ อย่างเช่น ปกติเติมลมยางหน้าเอาไว้ 30 ปอนด์ ยางหลัง 32 ปอนด์ ก่อนเดินทางก็อาจจะเติมลมยางเข้าไปที่ยางหน้า 32 ปอนด์ และยางหลัง 34 ปอนด์ เป็นต้น ทางที่ดีก็อาจจะติดตัววัดแรงดันลมยางเอาไว้ประจำสัก 1 อัน เพราะจะทำให้สามารถเช็คแรงดันลมยางได้สะดวกมากขึ้น แต่ก็อย่าลืมเช็คในรถแต่ละรุ่นด้วยว่ารถหรือยางแต่ละรุ่นนั้นควรจะเติมแรงดันลมยางเอาไว้เท่าไหร่ เมื่อเวลาเดินทางไกลก็จะได้เติมลมเข้าไปให้มีความพอดี ต้องบอกว่าแรงดันลมยางนั้นมีผลต่อการขับขี่และการควบคุมรถมาก แต่ถ้าจะถามว่าแล้วจะเติมลมให้เท่ากับตามที่ป้ายหรือคู่มือกำหนดได้ไหม ซึ่งก็บอกว่าได้เช่นกัน แต่ทางทีดีก็อาจจะต้องคอยเช็คลมยางอยู่เรื่อยๆ หรืออาจจะจอดพักเป็นระยะเพื่อไม่ให้ยางเกิดความร้อนสะสมมากเกินไป เพราะความร้อนนี่แหละคือตัวการสำคัญของความเสียหาย ดังนั้นควรจะต้องเช็คลมยางอยู่เรื่อยๆ ในการเดินทางไกล ถ้าหากเซ็ตลมยางได้ถูกต้องก็จะทำให้การเดินทางปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วยนั้นเอง

ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก  https://realmotosports.com/

สามารถติดตาม ข่าวสาร เทรนด์ และบทความอื่นๆ ได้ที่ เว็บไซต์ MOTOFIIX Thailand